แยกให้ชัดไข้เลือดออก หรือ โควิด19
สาเหตุของโรคไข้เลือดออกและCOVID-19 เกิดจากอะไร?
ไข้เลือดออก : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค
COVID-19 : เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 (SARS-CoV-2) สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก
อาการและการดำเนินโรคทั้งสองโรคนี้แตกต่างกันอย่างไร?
ไข้เลือดออก : ไข้สูงนานประมาณ 2-7วัน (อุณหภูมิมากกว่า38.5 องศาเซลเซียส) หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง มักไม่พบอาการไอน้ำมูก หายใจลำบากหรือปอดอักเสบ
COVID-19 : ไข้ต่ำถึงสูง (มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส) ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ มีน้ำมูก หอบเหนื่อยหายใจลำบาก ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง ท้องเสียมีในบางราย ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง
ข้อแนะนำในการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออกและCOVID-19
โรคไข้เลือดออก : สามารถป้องกันได้ ด้วยการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย(ภาชนะที่อาจมีน้ำขัง)และป้องกันไม่ให้ยุงลายมากัดเราได้ เช่น ทาโลชั่นกันยุง
COVID-19 : เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือการป้องกันการสัมผัสกับเชื้อไวรัสโดย หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ขยี้ตา แคะจมูก และสัมผัสปาก พร้อมทั้ง
- หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์นานอย่างน้อย 20 วินาที
- ไอจามใส่แขนพับหลีกเลี่ยงการใช้มือป้องปากและจมูก หากใช้ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
- รักษาระยะห่าง 1-2 เมตร (social distancing) และไม่ใกล้ชิดกับผู้มีอาการทางระบบทางเดินหายใจเช่นไอจาม
- เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยเช่น ราวบันได ลูกบิด ของเล่น ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงไปในสถานที่คนหนาแน่น เช่นตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานีขนส่ง รถไฟฟ้า
- ถ้าป่วยให้หยุดอยู่บ้าน และสวมหน้ากากอนามัย
- ตรวจ ATK หากมีอาการน่าสงสัย หรือ ไปพบปะผู้ป่วยโควิดหรืออยู่ในกลุ่มผู้เสี่ยงติดโควิด
จะเห็นว่าอาการป่วยเบื้องต้นของทั้งสองโรคมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง แต่หากเป็นโรค COVID-19 นอกจากจะมีไข้ ไอ แล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ร่วมกับเหนื่อยหอบ หายใจลำบากร่วมด้วย หากมีอาการเหล่านี้แล้วไม่มั่นใจควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคจะดีที่สุด
ขอขอบคุณบทความโดย : พญ. ธิดารัตน์ แก้วเงิน (โรงพยาบาลนครธน)